นายสิงหะ นิกรพันธุ์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เปิดเผยว่านโยบายด้านการสื่อสารและการทำความเข้าใจกับผู้ฝากเงินทั่วประเทศ เพื่อให้มีความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในระบบการเงินไทยนั้น นับเป็นนโยบายหนึ่งที่สำคัญของสถาบันคุ้มครองเงินฝากในปัจจุบัน โดยตลอดทั้งปีนี้สถาบันคุ้มครองเงินฝาก กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ร่วมกันออกไปโรดโชว์ให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง อาทิ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ พิษณุโลก อุดรธานี และโครงการเร็วๆนี้ที่จังหวัดชลบุรี ภูเก็ต นครราชสีมา เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชน
โดยจะฉายภาพรวมในการสร้างเสถียรภาพของระบบการเงินไทยของทั้ง 3 หน่วยงานซึ่งจะประกอบไปด้วย กระทรวงการคลังที่มีบทบาทในการกำหนดนโยบายภาพรวมของเศรษฐกิจและนโยบายสถาบันการเงิน และเป็นผู้ออกใบอนุญาตสถาบันการเงินต่างๆ ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทยมีบทบาทในการกำกับดูแลสถาบันการเงิน และสำหรับสถาบันคุ้มครองเงินฝากมีบทบาทในการตั้งรับ ทำหน้าที่จ่ายคืนเงินฝากและชำระบัญชีในกรณีที่สถาบันการเงินถูกปิดกิจการ ทั้งนี้ กิจกรรมการสื่อสารให้ความรู้ ล้วนได้รับความสนใจจากผู้ฝากเงินจำนวนมาก
"การตื่นตัวของประชาชนผู้ฝากเงินนั้น มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในการหารายละเอียด เช่น วันที่จะเริ่มลดวงเงินคุ้มครอง เงินฝากหรือตราสารใดบ้างที่ได้รับความคุ้มครอง รายชื่อสถาบันการเงินใดบ้างที่ได้รับความคุ้มครอง เพราะที่ผ่านมาประชาชนอาจฟังผ่านๆ เพราะการคุ้มครองยังเป็นการคุ้มครองเต็มจำนวนอยู่ แต่พอถึงวันนี้ทำให้ทั้งฝั่งสถาบันการเงินต้องปรับระบบภายในรับมือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และผู้ฝากเงินที่มีเงินฝากสูงเกิน 50 ล้านบาทอาจต้องปรับตัวเช่นกัน"
นายสิงหะย้ำว่าวงเงินคุ้มครองจะถูกกำหนดไว้ในกฎหมายซึ่ง ณ ขณะนี้คุ้มครองเต็มจำนวน และระหว่าง 11 สิงหาคม 2554 ถึง 10 สิงหาคม 2555 คุ้มครองวงเงิน 50 ล้านบาท และตั้งแต่ 11 สิงหาคม 2555 เป็นต้นไป คุ้มครองวงเงิน 1 ล้านบาท ต่อหนึ่งรายผู้ฝากต่อหนึ่งสถาบันการเงิน
กล่าวคือเมื่อสำนักงานแห่งหนึ่งล้ม สถาบันคุ้มครองเงินฝากจะรวมเงินฝากทุกบัญชีของ ผู้ฝากรายหนึ่งๆในธนาคารนั้นก่อนทั้งดอกเบี้ยและเงินต้น แล้วจ่ายคืนให้ตามจริงแต่ไม่เกินวงเงินที่กำหนดตามช่วงที่สถาบันการเงินปิดกิจการดังที่กล่าวข้างต้น
สำหรับการปรับตัว อยากให้ผู้ฝากเข้าใจก่อนว่า ธุรกิจสถาบันการเงินเป็นธุรกิจที่ถูกควบคุม ดูแลตั้งแต่เริ่มจัดตั้ง ไม่ใช่ว่าใครมีเงินแล้วอยากเข้ามาเปิดแบงก์ก็เปิดได้ ต้องมีการขออนุญาตซึ่งภาครัฐจะต้องพิจารณาปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน และเมื่อเข้ามาทำธุรกิจแล้วก็จะถูกกำกับดูแลใกล้ชิดจากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเกณฑ์กำกับดูแลทุกวันนี้เป็นมาตรฐาน ดังนั้น โอกาสที่ธนาคารจะล้มเป็นไปได้ยากมาก
อย่างไรก็ตาม หากเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นจริงๆแล้วผู้ฝากก็มั่นใจได้ว่า ยังมีสถาบันคุ้มครองเงินฝากที่พร้อมจ่ายเงินในวงเงินที่กำหนด และในเวลาที่กำหนด ผู้ฝากจึงเชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงินของไทยได้ สามารถใช้ชีวิตโดยรวมได้ตามปกติดังที่เป็นมา แต่อย่างหนึ่งที่ผู้ฝากจะต้องเปลี่ยนตัวเอง คือ การติดตามข่าวสาร พิจารณาข้อมูลต่างๆ และไม่ฝากเงินโดยดูอัตราดอกเบี้ยสูงๆ อย่างเดียว ต้องดูปัจจัยอื่นๆประกอบด้วย
หากต้องการทราบรายละเอียดเรื่องการคุ้มครองเงินฝากสามารถศึกษาได้ที่www.dpa.or.th หรือสอบถามได้ทาง 02-272-0300
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น