23 องค์กรร่วมกันขู่รัฐบาลใหม่หยุดคอรัปชั่นทันทีหลังพบบ้านเมืองฉิบหายในรัฐบาลที่แล้ว 3 แสนล้าน
พิมพ์ไทย ฉบับวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554 |
การสัมมนา "ต่อต้านคอรัปชั่น จุดเปลี่ยนประเทศไทย" จัดโดย ภาคีเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น 23 องค์กร ทั้งภาครัฐและเอกชน โดย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจะนำผลการวิจัยปัญหาคอรัปชั่นที่ดำเนินการสำรวจในช่วงที่ผ่านมา เผยถึงข้อมูลการกระทำคอรัปชั่นที่มีมูลค่าสูงและเติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยจาการสำรวจพบว่าการคอรัปชั่น ในไทยมีเม็ดเงินสูงถึง 2- 3 แสนล้านบาท. ขณะเดียวกันยังมีวิทยากร นายจูลี่มู ผู้อำนวยการฝ่ายชุมชนสัมพันธ์จากคณะกรรมการอิสระเพื่อการปราบปรามการคอรัปชั่น เขตปกครองพิเศษฮ่องกงจะบรรยายพิเศษ ผลการสำรวจการปราบปรามคอรัปชั่น ที่เคยประสบผลสำเร็จในฮ่องกง ซึ่งเคยเป็นพื้นที่ที่มีการคอรัปชั่นสูง นายดุสิต นนทะนาคร ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคนต้องร่วม กันกำจัดปัญหาคอรัปชั่นให้หมดไป ทั้งนี้ ที่ผ่านมาประเทศไทยติดอันดับประเทศที่มีการคอรัปชั่นสูงในอันดับต้น ๆ ของโลก จากดัชนีภาพลักษณ์คอรัปชั่น ประจำปี 2553 ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 78 จาก 178 ประเทศทั่วโลก ถือเป็นปัญหาที่หยั่งรากฝังลึกอย่างยาวนานในสังคมไทย ไม่ต่างกับโรคร้ายที่คอยกัดกร่อนและบ่อนทำลายประเทศ ซึ่งนับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น นายดุสิต กล่าวอีกว่า ขณะนี้สถานการณ์ทุจริตคอรัปชั่นเลวร้ายมากขึ้นมีการจ่ายเงินใต้โต๊ะให้กับผู้มีอำนาจ เพื่อให้ได้งานหรือสิทธิประโยชน์มากถึงร้อยละ 50 เพิ่มจากอดีตในช่วง 20-30 ปีที่มีการจ่ายเงินใต้โต๊ะร้อยละ 2-3 และเพิ่มมาเป็นร้อยละ 30-40 ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ถือเป็นการปล้นชาติ เพราะงบประมาณทุกบาทที่ควรนำมาพัฒนาประเทศได้ถูกโกงกินจากการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ หรือเมกะโปรเจ็กต์ ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนจะต้องช่วยกันกระตุ้นและจุดประกายให้คนในสังคมตระหนักว่า การต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องร่วมมือร่วมใจกันแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง ดังนั้น ในวันที่ 1 มิถุนายนหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะองค์กรผู้นำภาคเอกชนจึงได้ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น 21 องค์กร เช่น สภาหอการค้าไทย หอการค้าต่างประเทศ สมาคมธนาคารไทยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สมาคมบริษัทจดทะเบียน สภาธุรกิจตลาดทุนไทย จะประกาศจุดยืนของภาคเอกชนทุกคนที่อยู่ในภาคียุติการให้ นายดุสิตกล่าวว่า การคอรัปชั่นมีทั้งผู้ให้และผู้รับ เมื่อผู้ให้ยุติการให้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้การคอรัปชั่นทำได้ยากมากขึ้น อยากให้คนไทยทุกคนร่วมมือในการสอดส่อง เพราะหากจะหวังพึ่งกฎหมายและองค์กร เช่น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อาจไม่ทันการณ์ เห็นได้จากการคอรัปชั่นที่รุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวัน และการจัดสัมมนาดังกล่าวซึ่งอยู่ในช่วงการเลือกตั้ง ที่จะได้รัฐบาลใหม่เร็ว ๆ นี้ ถือเป็นการเตือนนักการเมืองที่จะมาเป็นผู้แทนประชาชนให้หยุดพฤติกรรมดังกล่าว เพราะเอกชนจะเป็นผู้หยุดให้เช่นกัน "เราเห็นตัวอย่างของฮ่องกงที่ทำสำเร็จมาแล้ว จากเมื่อก่อนที่ใคร ๆ ต่างก็มองว่าฮ่องกงเป็นประเทศที่มีการคอรัปชั่นสูง แต่ปัจจุบันฮ่องกงได้กลายเป็นประเทศที่มีภาพลักษณ์โปร่งใส และน่าลงทุนอันดับต้น ๆ ของโลก ฮ่องกงยังทำได้สำเร็จ ประเทศไทยก็ต้องทำได้เช่นกัน หากทุกคนร่วมมือร่วมใจกันเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะสามารถหยุดการทุจริตคอรัปชั่นได้อย่างแน่นอน" นายดุสิต กล่าว นายพงษ์ศักดิ์ อัสกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การประกาศการต่อต้านคอรัปชั่นครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้น ส่งสัญญาณให้คนทั่วประเทศทราบว่า เอกชนจะไม่ยินยอมให้เกิดการคอรัปชั่นในรูปแบบต่าง ๆ เพราะที่ผ่านมาปัญหาคอรัปชั่นทำให้ประเทศประสบปัญหา ทั้งทางตรงและทางอ้อมเมื่อเอกชนประกาศเช่นนี้และไม่ยินยอมก็เชื่อว่าปัญหาคอรัปชั่นจะน้อยลง แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะทำให้หมดไป แต่ทำให้คอรัปชั่นลดลงได้ทุกปี ก็จะก่อประโยชนต่อประเทศ ซึ่งการประกาศครั้งนี้ นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ภาคธุรกิจมีส่วนสำคัญอย่างมากในการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นให้เกิดผลอย่างจริงจังและต่อเนื่อง สมาคมธนาคารไทยมีแนวทางที่ชัดเจนในการต่อต้านหรือไม่ร่วมมือกับการทุจริตคอรัปชั่นทุกรูปแบบ โดยธนาคารจะมีบทบาทในการสอดส่องและส่งข้อมูลทางการเงินที่ผิดปกติแก่ราชการ และ ป.ป.ช. หากมีข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลที่มีความเคลื่อนไหวทางการเงินผิดปกติ เช่น มีเงินเข้าออกบัญชีเดือนละ 2-3 แสนบาท แต่เพิ่มเป็น 10-20 ล้านบาท ด้านนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า การรวมกลุ่มกับองค์กรต่าง ๆ ของ ส.อ.ท.เพื่อแสดงจุดยืนเรื่องการต่อต้านคอรัปชั่น ถือเป็นการรวมกลุ่มอย่างเป็นทางการครั้งแรก การรวมกลุ่มครั้งนี้วางเป้าหมายหลักให้องค์กรต่าง ๆ สร้างทัศนคติการไม่เห็นด้วยกับการคอรัปชั่น และขจัดกฎระเบียบของภาครัฐที่เป็นอุปสรรค เพื่อให้ภาคธุรกิจเดินหน้าโดยไม่ถูกเอาเปรียบ จึงควรเป็นบทบาทหน้าที่ของประชาชนไทยทุกคน ต้องร่วมมือในการต่อต้านการคอรัปชั่น เพื่อสร้างจุดเปลี่ยนให้กับประเทศ ให้พัฒนาไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและภาคภูมิในสังคมโลกโดย ส.อ.ท.พยายามสร้างคุณภาพองค์กรให้ซื่อสัตย์ทั้งด้านบุคลากร สินค้าและผู้บริโภค |
.....หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น