จาก ประชาไท
มอบรางวัลเกียรติยศ "สันติประชาธรรม" สำหรับบุคคลที่อุทิศตนเพื่อสังคม
ตามแนวทางของนายป๋วย อึ๊งภากรณ์ แก่ "พงศ์จรัส รวยร่ำ" ในงานครบรอบ 67 ปี วันสันติภาพไทย
คำประกาศเกียรติคุณรางวัลเกียรติยศ สันติประชาธรรม สำหรับบุคคลที่อุทิศตนเพื่อสังคม ตามแนวทางของนายป๋วย อึ๊งภากรณ์ นายพงศ์จรัส รวยร่ำ ปัจจุบันอายุ ๕๖ ปี เกิดวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ ชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานี สำเร็จการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลายจากโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดนครศรีธรรมราช ปริญญาตรีทางนิติศาสตร์และมหาบัณฑิตทางรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง และประกาศนียบัตรหลักสูตรการจัดการความขัดแย้งจากสถาบันพระปกเกล้า เส้นทางการทำงานในวิชาชีพกฎหมายมีความหลากหลายอย่างเชื่อมโยงกัน เริ่มต้นจากการเป็นทนายความของสำนักงานกฎหมายเสนีย์ ปราโมช เข้าทำงานในวงการศึกษาในฐานะเป็นเลขานุการของ รศ.ดร.สมศักดิ์ สิงหพันธุ์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และทำงานการเมืองสมัยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งจากประสบการณ์ดังกล่าวหล่อหลอมให้นายพงศ์จรัส รวยร่ำเป็นนักกฎหมายที่มีความรอบรู้อย่างกว้างขวาง ล้ำเลิศในข้อกฎหมาย เจนจัดในข้อเท็จจริง และที่สำคัญมีสมัครพรรคพวกแทบทุกวงการ อีกทั้งอุปนิสัยรักการใฝ่หาความรู้ ชอบอ่านหนังสือแนวปรัชญาและตั้งวงสนทนาวิสาสะกับมิตรสหายอย่างออกรส จึงทำให้ทนายความผู้นี้ก้าวข้ามนักนิติอักษรศาสตร์ไปสู่แก่นสาระของกฎหมายในฐานะนักยุติธรรม ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานายพงศ์จรัส รวยร่ำ เป็นทนายความที่มีอุดมการณ์ในการทำงานมุ่งมั่นช่วยเหลือประชาชนที่ด้อยโอกาส ด้วยความเห็นใจในความทุกข์ยากและลำบากของเพื่อนมนุษย์ หรือผู้ที่ถูกเอาเปรียบทางสังคม ด้วยเด่นชัดในบุคลิกภาพที่โผงผาง กล้าพูดอย่างตรงไปตรงมา และไม่สยบยอมกับอำนาจที่ไม่เป็นธรรม บุคลิกภาพเช่นนี้คือมิตรแท้ที่จริงใจสำหรับผู้ที่รักความเป็นธรรมหรือถูกระบบรังแก ยิ่งเป็นผู้ด้อยโอกาสด้วยแล้ว นายพงศ์จรัส รวยร่ำเป็นดั่งความหวังและที่พึ่งสุดท้ายของผู้ทุกข์ทน จึงไม่แปลกใจเลยที่พุทธศาสนิกชนศิษย์สำนักสวนโมกขพลารามผู้นี้จะผ่านการคัดสรร และได้รับการประทานโอกาสจากองค์อัลลอฮ์ให้มีศรัทธาร่วมกับพี่น้องมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ในการต่อสู้จากความอยุติธรรมทั้งปวง เช่น การต่อสู้ทางคดีให้เปิดสอนโรงเรียนอิสลามบูรพา ภายหลังจากถูกทางการกล่าวหาว่าเป็นแหล่งก่อการร้ายและสั่งปิด การต่อสู้เพื่อพิทักษ์มรดกทางวิถีประชาราษฎร์ (ผลักดันให้มีการจัดการสอนภาษาอาหรับผ่านระบบการศึกษาทางไกลกับมหาวิทยาลัยนานาชาติมาดีนะฮ์และคัดค้านนโยบายปิดโรงเรียนปอเนาะ) ช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ต้องหาในคดีก่อการร้าย หรือ การเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐานให้แก่พี่น้องมลายู ฯลฯ นอกจากประเภทงานร้อนแล้วเขาได้พยายามกระชับพื้นที่ประสานความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างเพื่อนฝ่ายรัฐ (การเมือง กองทัพ ฝ่ายปกครอง) กับผู้นำศาสนาอย่างแยบคาย ทั้งนี้ ไม่นับน้องๆ เยาวชนคนรุ่นใหม่ที่เขาให้การอุดหนุนทางการศึกษาและประกอบอาชีพซึ่งไม่น่าจะน้อยกว่าหลักพันคน เมื่อครั้ง นายพงศ์จรัส รวยร่ำเป็นอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ก็ได้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นในหลายเรื่อง และเป็นผู้ริเริ่มโครงการฝึกอาชีพและปรับทัศนคติให้กับผู้ต้องสงสัยในคดีก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยแลกเปลี่ยนกับการไม่ถูกดำเนินคดีจากทางการ แม้โครงการนี้จะส่งผลกระทบต่อตัวเขาก็ตาม แต่เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงจุดยืนที่มั่นคงและความกล้าหาญทางจริยธรรมที่เห็นแก่ประโยชน์ของผู้อื่นสำคัญกว่าตนเอง ปัจจุบันนายพงศ์จรัส รวยร่ำได้รับเชิญให้เป็นที่ปรึกษาของกองทัพภาคที่ ๒ และที่ปรึกษาอธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา ศาลอาญาธนบุรี และเป็นอาจารย์พิเศษในหลายสถาบันการศึกษา จึงเป็นเครื่องรับรองคุณภาพได้เป็นอย่างดี จากปฏิปทาที่ผ่านมาทำให้เชื่อว่า นายพงศ์จรัส รวยร่ำ ไม่ใคร่ใส่ใจต่อลาภ เกียรติยศ และการสรรเสริญ แต่ท่ามกลางวิกฤตศรัทธาต่อวงการกฎหมายไทยในปัจจุบัน ยิ่งประจักษ์ว่า นักกฎหมายที่มีอุดมการณ์และจิตวิญญาณเพื่อสาธารณะเช่นนายพงศ์จรัส รวยร่ำนั้น นับเป็นแบบอย่างของ "นักนิติสามัญสำนึกศาสตร์" ที่มีคุณค่าต่อสังคมไทยประดุจแสงไฟเพื่อส่องทางให้แก่ประชาราษฎร์ผู้ทุกข์ระทม จึงสมควรได้รับการยกย่องเชิดชูเป็น ผู้ที่เหมาะสมกับการประกาศเกียรติคุณรางวัลเกียรติยศสันติประชาธรรมสำหรับบุคคลที่อุทิศตนเพื่อสังคมตามแนวทางของนายป๋วย อึ๊งภากรณ์ ยิ่งนัก ที่มา: Sulak Sivaraksa |