วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

[Museum Siam newsletter] ศิลปะ 3 มิติ สื่อรณรงค์ฯ และ "นิทรรศการข้าวไทย"




จาก: Museum Siam <webmaster@ndmi.or.th>
วันที่: 31 พฤษภาคม 2554, 14:55
หัวเรื่อง: [Museum Siam newsletter] ศิลปะ 3 มิติ สื่อรณรงค์ฯ และ "นิทรรศการข้าวไทย"
ถึง: 

ศิลปะ 3 มิติ สื่อรณรงค์ฯ และ "นิทรรศการข้าวไทย"


สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (มิวเซียมสยาม) เลขที่ 4 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง กรุงเทพฯ 10200
เวลาทำการ วันอังคาร - วันอาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) 10.00 - 18.00 น. โทร: 02 225 2777 แฟ็กซ์: 02 225 2775

www.museumsiam.com
 


 

Unsubscribe from this newsletter





วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ร้องสบท.เจ็บใจ แฟนไม่ได้คะแนนโหวต เพราะเจอปัญหา เอสเอ็มเอสดีเลย์

ร้องสบท.เจ็บใจ แฟนไม่ได้คะแนนโหวต เพราะเจอปัญหา เอสเอ็มเอสดีเลย์

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เวลา 16:23:11 น.





  จากกรณีที่รายการโทรทัศน์ในปัจจุบันได้จัดการแข่งขันการแสดง หรือการร้องเพลง โดยมีกติกาให้ผู้ชมร่วมโหวตให้คะแนนผ่านเอสเอ็มเอส  หากการแสดงของใครเป็นที่ชื่นชอบได้รับการโหวตจากผู้ชมมากที่สุดก็จะเป็นผู้ชนะนั้น

 

 

นายประวิทย์  ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) เปิดเผยว่า สบท.ได้รับการร้องเรียนจากผู้บริโภคเกี่ยวกับการร่วมโหวตในรายการประเภทดังกล่าว  กรณีแรกหลังจบรายการผู้ร้องรายหนึ่งตรวจสอบพบว่า ได้ส่งเอสเอ็มเอ็สจำนวนเกือบห้าร้อยครั้งเพื่อเชียร์คนที่ชื่นชอบในช่วงที่รายการออกอากาศสดอยู่ แต่ปรากฏว่าเอสเอ็มเอสที่ส่งไปไม่ได้ถึงทันที และมีการล่าช้า เช่น ส่งไปเกือบห้าร้อยข้อความอาจจะถึงทันในเวลาที่ออกอากาศสดเพียง 200 กว่าข้อความ ทำให้ผู้ร้องเสียหายเนื่องจากอุตส่าห์ลงทุนส่งเอสเอ็มเอสแล้ว  เงินก็เสีย แถมคนที่ชื่นชอบก็ไม่ได้คะแนนจากการโหวต ซึ่งเท่ากับเสียเงินฟรี
                 

 

"กรณีนี้ผู้ร้องแจ้งว่า ได้ส่งเอสเอ็มเอสเชียร์รายการสด Thailand's got talent ในช่วงเวลาสี่โมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม แต่เมื่อตรวจสอบผ่านเว็บไซต์ กลับพบว่าเป็นการส่งข้อความในช่วงสี่โมงเย็นถึงห้าทุ่ม ซึ่งแสดงว่า มีความล่าช้าในการส่ง หรือเกิดความหนาแน่นของการส่งข้อมูลทำให้ความล่าช้าเกิดขึ้น อย่างไรก็ตามในกรณีนี้ หากการส่งเอสเอ็มเอสดังกล่าว มีการแบ่งรายได้ระหว่างผู้ให้บริการกับเจ้าของรายการ ก็ถือว่า เป็นบริการเสริมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการโหวตให้คะแนน ดังนั้น ผู้ให้บริการก็มีหน้าที่ที่ต้องทำให้การโหวตสำเร็จ มิฉะนั้นจะคิดเงินไม่ได้" นายประวิทย์กล่าว
             

 

 

ผอ.สบท.กล่าวต่อไปว่า ยังมีผู้บริโภคอีกรายร้องเรียนเกี่ยวกับการถูกเรียกเก็บค่าบริการส่งข้อความสั้น จากการร่วมโหวตในอีกรายการหนึ่งเป็นจำนวนเงินเกือบห้าหมื่นบาท  จากรายการเรียกเก็บที่บริษัทแสดงพบว่า ค่าบริการส่วนใหญ่เกิดจากการกดโหวตแบบพิเศษที่คิดราคาข้อความละ 80 บาท ซึ่งผู้ร้องเรียนยอมรับว่า มีการโหวตดังกล่าวจริง แต่ทำเพียงไม่กี่ครั้งเนื่องจากต้องการลุ้นรับ Iphone อย่างไรก็ดีจากการตรวจสอบของ สบท. พบว่า ในใบแจ้งค่าบริการแสดงว่ามีการโหวตแบบครั้งละ 80 บาท เป็นจำนวนมากกว่า 500 ครั้ง ในระหว่างที่รายการออกอากาศ 2 สัปดาห์ นั่นหมายถึงเฉลี่ยแล้วมีการโหวตในทุกๆ  8 วินาที ซึ่งหากผู้ร้องเรียนทำจริงก็นับว่า เป็นพฤติกรรมที่น่าสนใจ แต่หากไม่ใช่ก็ต้องหาสาเหตุให้ได้ว่าเกิดความผิดพลาดได้อย่างไร 

 

 "การร่วมลุ้นในรายการเพื่อเชียร์คนที่ชื่นชอบเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่อาจต้องระมัดระวังมากขึ้น อีกทั้งขณะนี้ได้มีการคิดวิธีการร่วมโหวตที่มีความเสี่ยงเรื่องค่าบริการ เช่นการโหวตแบบ Big Vote ซึ่งเป็นการกดเพื่อส่งข้อความสั้นเพียงครั้งเดียวเท่ากับคะแนนโหวต 20 คะแนนแต่เสียค่าโหวตครั้งละ 80 บาท ซึ่งต้องระมัดระวังในการกดส่งข้อความเพราะบางครั้งผู้บริโภคอาจไม่ได้ตั้งใจ แต่กดผิด หรืออาจไม่เข้าใจวิธีการกดอย่างแท้จริง หรืออาจเกิดจากความผิดพลาดของบริษัทก็ได้ " ผอ.สบท. กล่าว
          

 

นายประวิทย์กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้พิธีกรในรายการประเภทนี้ที่มักกระตุ้นให้ผู้ชมร่วมโหวตสดในเวลาออกอากาศ  เช่น ในช่วง 10 นาทีสุดท้ายก่อนการตัดสิน ซึ่งผู้บริโภคต้องระมัดระวังด้วย เพราะการส่งข้อความโหวตในช่วงเวลาดังกล่าวจะไม่มีประโยชน์ เนื่องจากความหนาแน่นของการส่งข้อมูลจะเกิดขึ้น ทำให้ผู้ชมต้องเสียเงินทั้งที่คะแนนไม่ได้ถูกสะสมจริงให้แก่ผู้แข่งขัน  ผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือที่นิยมการร่วมโหวตในรายการ จึงต้องเท่าทันกับรายการประเภทนี้ด้วย 


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1306747446&grpid=01&catid=&subcatid=




ตะลึง! คนไทยเป็น 5 โรคเรื้อรังพุ่ง เสี่ยงอัมพฤกษ์ อัมพาต 10 ล้านคน

ตะลึง! คนไทยเป็น 5 โรคเรื้อรังพุ่ง เสี่ยงอัมพฤกษ์ อัมพาต 10 ล้านคน

วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 เวลา 16:26:30 น.





เพราะวิถีการดำเนินชีวิตขาดความสมดุล สิ่งแวดล้อมไม่ปลอดภัย มีปัจจัยเสี่ยงสารพัดที่กระทบต่อสุขภาพ เช่นอาหารฟาสต์ฟู้ด อาหารจานด่วนประเภททอด ปิ้ง ย่าง หนักไปทางเนื้อกับไขมัน อาหารรสจัดๆ โดยเฉพาะหวานมากและเค็มจัด ไม่รับประทาน ผักผลไม้ มีความสะดวกสบายเกินไปจะใช้อะไรก็แค่ปลายนิ้วสัมผัส ร่างกายแทบไม่ต้องขยับ ที่สำคัญมีความเครียดสูง แถมดื่มเหล้าสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นแม้ว่าจะมีการรณรงค์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 
ด้วยเหตุนี้ ทำให้คนเรามีปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนมากขึ้น และส่งผลให้กลายเป็น  "โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง" หรือที่เรียกว่า "โรควิถีชีวิต" แพร่ระบาดไปทั่ว และทั้งที่โรคเหล่านี้สามารถป้องกันได้ แต่สถานการณ์ปัจจุบันกลับเข้าขั้นวิกฤต


 องค์การอนามัยโลกระบุว่า ในปี 2548 ในจำนวนการตายของประชากรโลกทั้งหมดประมาณ 58 ล้านคน มีถึงร้อยละ 60 ที่ตายจากโรคเรื้อรัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง 5 โรค คือ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็ง
ประเทศไทยก็เป็นหนึ่งในนั้น


  2 ปีที่ผ่านมา มีคนไทยป่วยด้วยโรคเบาหวาน 3.5 ล้านคน แต่มีถึง 1.1 ล้านคนที่ไม่รู้ว่าตนเองป่วย ที่น่าห่วงยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ผู้ป่วยเหล่านี้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองสูงกว่าคนปกติถึง 2-4 เท่า และมากกว่าครึ่งมีความผิดปกติของระบบประสาท และเสื่อมสมรรถภาพทางเพศในผู้ชาย เกิดภาวะแทรกซ้อนทางตา เท้า  และไต
ในรายที่เป็นไม่มากผู้ป่วยมักไม่มีอาการผิดปกติ แต่ในรายที่เป็นมาก (ระดับน้ำตาลในเลือดมากกว่า 200 มก./ดล.) จะมีอาการให้สังเกตได้คือ ปัสสาวะบ่อยและมาก หิวและกระหายน้ำบ่อย อ่อนเพลียไม่มีแรง บางคนปัสสาวะแล้วมีมดขึ้น อาการเหล่านี้บ่งบอกว่าถึงขั้นน่าเป็นห่วง


ต่อมาก็เป็น โรคความดันโลหิตสูง ในช่วงปีเดียวกันนั้นมีคนไทยที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปเป็นโรคนี้สูงมากถึง 10.8 ล้านคน โดย 5.4 ล้านคนที่ไม่รู้ว่าตนเองเป็นอยู่


ความร้ายแรงแบบโดมิโนของโรคความดันโลหิตสูง อยู่ตรงที่คนที่เป็นโรคนี้มักมีคอเรสเตอรอลสูงกว่าคนปกติ 6-7 เท่า เสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมองและโรคหลอดเลือดหัวใจเพิ่มขึ้นร้อยละ 40 และร้อยละ 25 ตามลำดับ และมีโอกาสเสียชีวิตจากหัวใจวายถึงร้อยละ 60-75 หลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตันร้อยละ 20-30 ไตวายร้อยละ 5-10 และมีโอกาสเป็นอัมพาตมากกว่าคนปกติถึง 5 เท่า และโอกาสเสียชีวิตสูงกว่าคนปกติ 2-4 เท่า


   คนเป็นโรคความดันโลหิตสูงระยะแรกจะไม่แสดงอาการ แต่ก็เป็น "เพชรฆาตเงียบ" ที่สร้างความเสียหายอย่างมากมายต่อหลอดเลือดและอวัยวะอื่นๆ หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รีบรักษาจะเกิดการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดแดง โดยเฉพาะหลอดเลือดที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง ตา หัวใจ และไต ทำให้หลอดเลือดสมองตีบตันหรือแตก จนเกิดเป็นอัมพาต และอาจทำให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือด เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว หรือหัวใจวายตามมา รวมทั้งเกิดโรคไตวายเรื้อรัง


  สำหรับ โรคหัวใจ 2 ปีที่ผ่านมา มีคนไทยเสียชีวิตจากโรคนี้เฉลี่ย 50 คนต่อวัน หรือชั่วโมงละ 2 คน และเจ็บป่วยนับเฉพาะที่เข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในมีมากเฉลี่ยถึง 1,185 รายต่อวัน  โรคหัวใจที่พบได้มากมีทั้ง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน โรคหัวใจล้มเหลว โรคหัวใจวาย และอื่นๆ
 และนับวันก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ผลการสำรวจพฤติกรรมคนไทยล่าสุดพบว่า คนไทยมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจสูงถึงร้อยละ 86 เพราะความนิยมบริโภคอาหารไขมันสูง ทำให้มีไขมันสะสมในเส้นเลือดแดง ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดตีบตามมา จนมีคนไทยจำนวนมากที่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร


  โรคหลอดเลือดสมอง หรืออัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นอีกโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่มีแนวโน้มการเกิดผู้ป่วยที่สูงขึ้นมาก 
 โรคหลอดเลือดสมองแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ โรคหลอดเลือดสมองแตก และโรคหลอดเลือดสมองตีบ หรืออุดตัน เฉพาะปี 2550 มีคนไทยอายุ 15-74 ปี ที่ป่วยด้วยโรคนี้เพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนคน คาดว่าแต่ละปีมีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 150,000 ราย 


ทุกวันนี้มีคนไทยที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคนี้อย่างไม่รู้ตัวอยู่ประมาณ 10 ล้านคน ยิ่งเป็นผู้ที่มีความดันโลหิตสูงยิ่งมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 3-17 เท่าตัว เป็นโรคเบาหวานเสี่ยงเพิ่ม 2 เท่า ภาวะไขมันคอเลสเตอรอลสูงเสี่ยงเพิ่ม 1.5 เท่า และหากมีปัจจัยเสี่ยงมากกว่าหนึ่งปัจจัย โอกาสเกิดโรคนี้ก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ 

นอกจากนี้ ยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่นๆ ตามมาอีก โดยเฉพาะ โรคหัวใจขาดเลือด โรคสมองเสื่อม โรคหลอดลมอุดตันเรื้อรัง และมะเร็ง


 โรคนี้ยังไม่พบสาเหตุที่แน่ชัด แต่มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น อายุ เชื้อชาติ ภาวะความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ภาวะไขมันในเลือดสูง ความอ้วน การสูบบุหรี่-ดื่มสุรา 

คนทั่วไป โดยเฉพาะคนที่อายุ 45 ปีขึ้นไป หากมีอาการแขนขาชาอ่อนแรงข้างใดข้างหนึ่ง พูดไม่ชัด พูดไม่ได้ หรือฟังไม่เข้าใจ เดินเซ เวียนศีรษะเฉียบพลัน ตามองเห็นภาพซ้อน หรือมองมืดมัวข้างใดข้างหนึ่ง ต้องรีบไปพบแพทย์ยิ่งเร็วยิ่งดี เพราะนี่คือสัญญาณเตือนของโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต

ด้านการรักษาปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผลดี การป้องกันไม่ให้เกิดโรคจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุด โดยลดปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญคือ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือด ความเครียด งดสูบบุหรี่ และเลิกดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
โรคมะเร็ง สาเหตุการตายอันดับ 1 สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ระบุว่า ในปี 2551 ประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ราว 120,000 ราย และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 50 ในช่วง 10 ปี 

มะเร็งที่พบมาก 5 อันดับแรกคือ มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และน่าสังเกตว่า ผู้หญิงเป็นโรคมะเร็งเต้านมและมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มพบมากในสตรีอายุ 35 ปีขึ้นไป และพบสูงสุดในกลุ่มอายุ 45 ปี เกือบร้อยละ 50 อยู่ในระยะที่มีการกระจายในต่อมน้ำเหลืองแล้ว
 มะเร็งระยะแรกๆ มักไม่ปรากฏอาการ จนเมื่อเป็นมากขึ้นจะมีอาการเฉพาะ ซึ่งขึ้นกับชนิดของโรคมะเร็งที่เป็น แต่โดยรวมแล้วอาการที่พบทั่วไปในมะเร็งทุกชนิด ได้แก่ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว อาจมีไข้เรื้อรัง ท้องอืดเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน ซีด หน้ามืดเป็นลม ใจหวิว เป็นต้น

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่เกิดจากการได้รับสารก่อมะเร็งที่ปนเปื้อนในอาหาร อาหารไขมันสูง อาหารเค็มจัด-หวานจัด อาหารปิ้งย่างเผาเกรียม สารเคมีในผัก-ผลไม้และสารที่ใช้ในการถนอมอาหาร อาหารที่มีสารเจือปนผสมสีสังเคราะห์ สารอะฟาทอกซิน การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ การสัมผัสแสงแดดจัดเป็นประจำ การได้รับเชื้อไวรัส การติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ และอื่นๆ มีเพียงส่วนน้อยที่มาจากความผิดปกติในร่างกายหรือพันธุกรรม 
 หันมาดูตัวเองแล้ว หากใครจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ก็ควรหมั่นไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินความเสี่ยงการเป็นมะเร็ง เพราะการตรวจพบระยะแรก โอกาสรักษาให้หายขาดจะมีมากขึ้น

   การรู้เท่าทันโรคภัยพร้อมกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตสู่พฤติกรรมใหม่ที่เป็นผลดีต่อสุขภาพ จะเป็นวิถีทางสู่การ "ลดทุกข์ สุขเพิ่ม" เพื่อการมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว 


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1306744065&grpid=01&catid=&subcatid=

เคล็ดลับวิธีทำให้แก้วเจียรไนใส





dodee1


เคล็ดลับวิธีทำพล่า

Posted: 29 May 2011 10:01 PM PDT

พล่ากุ้ง  พล่าปลา        อาหารประเภทพล่าก็จะคล้ายๆอาหารประเภทยำ  ต่างกันตรงที่พล่าใส่ตะไคร้แต่ยำไม่ใส่  รสชาติมีรสจัดจ้านเหมือนกันคือมีรส เปรี้ยว  เค็ม  หวาน  เคล็ดลับวิธีปรุงพล่าให้อร่อยคือ เอาข่า  ตะไคร้  กระเทียม  พริก  เกลือมาโขลกรวมกัน  แล้วจึงนำไปใส่พล่าที่จะทำ ปรุงรสตามใจชอบ  คราวนี้เราก็จะได้พล่าที่มีรสชาติเข้มข้นและมีกลิ่นหอมด้วยนะคะhttp://madoo2011.blogspot.com/ 


เคล็ดลับวิธีทอดไข่ดาวให้น่าทาน

Posted: 29 May 2011 06:01 AM PDT

      กลับมาดูเรื่องไข่ๆกันอีกครั้งนะคะ  วันนี้ก็จะมาพูดถึงการทอดไข่ดาวให้น่าทาน  เริ่มแรกเราก็ใส่น้ำมันในกระทะก้นลึกตั้งไฟให้น้ำมันร้อน  แต่ก็ไม่ต้องถึงกับร้อนจัดนะคะ  จากนั้นก็ต่อยไข่ใส่ลงไปแล้ก็รีบตะแคงกระทะเพื่อให้ไข่จมน้ำมัน  ใช้ช้อนหรือตะหลิวตักไข่ขาวขึ้นมาปิดไข่แดง  ทอดพอเหลืองแล้วตักขึ้นเราก็จะได้ไข่ขาวที่กรอบเหลืองและมีไข่แดงที่เป็นยางมะตูมด้วยค่ะ  http://madoo2011.blogspot.com/


เคล็ดลับวิธีทำให้แก้วเจียรไนใส

Posted: 29 May 2011 05:36 AM PDT

     การล้างแก้วเจียรไนให้ใสทำได้ง่ายๆและประหยัดแบบไม่ต้องเสียเงินซื้อน้ำยาแพงๆ  วิธีการง่ายๆคือเอาแก้วเจียรไนนี่ล่ะค่ะไปแช่ในน้ำส้มสายชูที่ผสมกับน้ำ  ในอัตราส่วน น้ำส้มสายชู 1 ส่วนกับน้ำ 3 ส่วน แช่ทิ้งไว้ 15-20 นาที  เมื่อถึงเวลาที่กำหนดแล้วนำไปผึ่งให้แห้ง(ไม่ต้องใช้ผ้าเช็ดนะคะ)แค่นี้เราก็จะได้แก้วเจียรไนที่ใสและเงางามแล้วล่ะค่ะ  แล้วอย่าลืมลองทำดูนะคะhttp://madoo2011.blogspot.com/


You are subscribed to email updates from dodee1
To stop receiving these emails, you may unsubscribe now.
Email delivery powered by Google
Google Inc., 20 West Kinzie, Chicago IL USA 60610

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

12 โครงการที่ครม.อภิสิทธิ์อนุมัติงบไว้กว่า 3 หมื่นล้านบาท

อสังหา Real Estate อสังหาฯ Real Estate
โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ   
วันอังคารที่ 24 พฤษภาคม 2011 เวลา 12:48 น.

กมธ.คมนาคม วุฒิสภา เรียกคมนาคมแจงความจำเป็นเร่งด่วน 12 โครงการที่ครม.อภิสิทธิ์อนุมัติงบไว้กว่า 3 หมื่นล้านบาท จับตารถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง การจัดซื้อหัวรถจักร 50 คัน จัดซื้อรถโดยสารรุ่นใหม่ 115 คัน และการพัฒนาเชิงพาณิชย์ท่าอากาศยานดอนเมือง จี้ติดความคืบหน้าและรับฟังปัญหาอุปสรรค  
 นายเกชา  ศักดิ์สมบูรณ์ ประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การคมนาคม วุฒิสภา  เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2554 ได้เชิญนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคมและคณะเข้าชี้แจงและรายงานความคืบหน้าโครงการต่างๆ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี(ครม.)ก่อนประกาศยุบสภาในปี 2554 นี้  ซึ่งจะเป็นการติดตามและเร่งรัดโครงการพร้อมรับฟังความจำเป็นเร่งด่วนตลอดจนปัญหาอุปสรรคต่างๆ เนื่องจากจำเป็นต้องใช้งบประมาณสูงถึง 35,025 ล้านบาท จึงต้องให้เกิดประโยชน์สูงสุด
 "ทั้ง 12 โครงการได้มีการขอใช้งบประมาณจำนวนมาก แต่บางโครงการคณะกรรมาธิการยังเห็นว่าไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน จึงต้องเชิญมาชี้แจงให้ทราบถึงรายละเอียดอีกครั้ง ก่อนเข้าสู่กระบวนการพิจารณางบประมาณ แต่บางโครงการเห็นว่ามีความจำเป็นพร้อมกับรับฟังความคืบหน้า เช่น โครงการรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง ตลอดจนโครงการจัดซื้อหัวรถจักร การปรับปรุงรถโดยสารของการรถไฟแห่งประเทศไทย ส่วนโครงการพัฒนาพื้นที่ท่าอากาศยานดอนเมืองให้เกิดประโยชน์เชิงพาณิชย์นั้นคณะกรรมาธิการบางท่านอาจจะมีคำแนะนำที่ดีเพื่อการนำไปปฏิบัติอีกด้วย"
 ด้านนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ขณะนี้แต่ละโครงการมีความคืบหน้าที่ดี ทั้งการเตรียมประกาศขายซองประกวดราคา การเปิดประมูล ตลอดจนการคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาเพื่อการออกแบบรายละเอียดและจัดทำร่างทีโออาร์ คาดว่าภายใน 1-2 เดือนนี้น่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนในการขับเคลื่อนแต่ละโครงการมากขึ้น
 "เป็นการชี้แจงสืบเนื่องจากคราวที่แล้ว เนื่องจากมีโครงการจำนวนมาก ซึ่งแต่ละโครงการในขณะนี้เห็นความคืบหน้าไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่บางโครงการอาจล่าช้าบางตามขั้นตอน หลังจากผ่านพ้นขั้นตอนนี้ไปแล้วน่าจะรวดเร็วขึ้น ซึ่งจะติดตามและเร่งผลักดันต่อไป โดยเฉพาะการรถไฟฯที่ได้รับงบตามโครงสร้างพื้นฐานซึ่งมีความชัดเจนมากกว่าโครงการอื่น ๆ"
 สำหรับโครงการที่ได้รับอนุมัติจากครม. ก่อนประกาศยุบสภาของกระทรวงคมนาคมรวมมูลค่ากว่า 35,025 ล้านบาท ประกอบด้วย 

1.โครงการจัดหารถจักรดีเซลไฟฟ้า จีอี 50 คัน วงเงิน 6,563 ล้านบาท 

2.โครงการปรับปรุงรถจักร 56 คัน วงเงิน 3,359 ล้านบาท 

3.โครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ 115 คัน วงเงิน 4,981 ล้านบาท 

4.โครงการก่อสร้างอุโมงค์เชื่อมต่อระหว่างจังหวัดเชียงใหม่-อำเภอหางดง วงเงิน 1,050 ล้านบาท 

5.โครงการก่อสร้างถนนราชพฤกษ์ ถนนกาญจนาภิเษก (แนวตะวันออก-ตะวันตก) วงเงิน 2,470 ล้านบาท 6.โครงการสร้างจุดเชื่อมต่อสถานีรถไฟฟ้าเพชรบุรีกับสถานีมักกะสัน วงเงินกว่า 10 ล้านบาท 

7.ขอออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เวนคืนที่ดินทางด่วนใหม่ สายศรีรัช-วงแหวนรอบนอก 16.7 กิโลเมตร ค่าเวนคืน 9,500 ล้านบาท 

8.ขอยกเว้นการใช้ระบบอนุญาโตตุลาการรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) 

9.จัดสรรเงินกู้จำนวน 1,860 ล้านบาท ให้บริษัท รถไฟฟ้า รฟท.จำกัด เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนบริหารงานภายในบริษัท,
10.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการจราจรทางอากาศ วงเงิน 4,460 ล้านบาทของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) 

11.โครงการดำเนินงานตามแผนงานการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม โดยใช้เงินกู้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ในวงเงินประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 300 ล้านบาท (30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ) และการดำเนินงานจัดทำระบบศูนย์บริหารจัดการรายได้กลางโดยใช้เงินกู้จากเอดีบีในวงเงิน 13 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 390 ล้านบาท รวมวงเงินทั้งสิ้น 752.15 ล้านบาท และ

12. โครงการมาตรการการนำเทคโนโลยีระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (จีพีเอส) มาใช้กับรถสาธารณะ การดำเนินการระยะแรกภายในปี 2554 ขอใช้งบประมาณจากกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปน.) ของกรมการขนส่งทางบกวงเงิน 10 ล้านบาท


 

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เงื่อนไขการยกเว้นหรือลดหย่อนค่าโดยสารรถโดยสารประจำทาง





 

แนะนำเว็ปไซต์

ระบบเว็บท่าภูมิสารสนเทศ

ระบบรายงานสภาพการจราจร

แผนที่เส้นทาง BTS


ศูนย์กลาความรู้แห่งชาต

1111

รับแจ้งเว็บไซตไม่เหมาะสม

ศูนย์ข้อมูลข่าวสารของทางราชการ

ห้องสมุดอีเล็กทรอนิกส์วิฒิสภา 

ป.ป.ช.



google

เข้าเว็บไซต์ฐานข้อมูลภาครัฐ

 


 

            องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจประเภทสาธารณูปโภคสังกัดกระทรวงคมนาคม จัดตั้งขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ พ.ศ.2519 (ก่อตั้งเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2519) มีภาระหน้าที่ในการจัดบริการรถโดยสารประจำทางวิ่งรับส่งประชาชนในเขตกรุงเทพฯ นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรสาคร สมุทรปราการ จัดรถวิ่งบริการในเส้นทางต่าง ๆ รวม 113 เส้นทาง มีจำนวนรถทั้งสิ้น 3,526 คัน (ณ เดือน กันยายน 2551)แยกเป็นรถธรรมดา 1,665 คัน รถปรับอากาศ 1,861 คัน และมีรถของบริษัทเอกชนที่ร่วมวิ่งบริการกับ ขสมก.ทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศจำนวน 3,535 คัน, รถมินิบัส จำนวน 1,067 คัน, รถเมล์เล็กในซอย จำนวน 2,325 คัน รถตู้ จำนวน 6,504 คัน และรถตู้ CNG 415 คัน รวมรถที่วิ่งให้บริการประชาชนในกรุงเทพมหานครมี จำนวน 17,372 คัน 463 เส้นทาง

quad_test.gif ประเภทของรถที่ให้บริการและอัตราค่าบริการ

ประเภทรถ
สีของรถ
อัตราค่าโดยสาร
เวลาบริการ
รถธรรมดา
ครีม-แดง
7 บาทตลอดสาย
05.00-23.00 น.
รถทางด่วน
ครีม-แดง
9 บาทตลอดสาย
05.00-23.00 น.
รถบริการตลอดคืน
ครีม-แดง
8.50 บาทตลอดสาย
23.00-05.00 น.
รถธรรมดา
ขาว-เขียว
8 บาทตลอดสาย
05.00-23.00 น.
รถบริการตลอดคืน
ขาว-เขียว
9.50 บาทตลอดสาย
23.00-05.00 น.
รถปรับอากาศ
ขาว-น้ำเงิน
11 13 15 17 19 บาท
(ตามระยะทาง)
05.00-23.00 น.
รถปรับอากาศ (ยูโร2)
เหลือง-ส้ม
12 14 16 18 20 22 24 บาท
(ตามระยะทาง)
05.00-23.00 น.

quad_test.gif เงื่อนไขการยกเว้นหรือลดหย่อนค่าโดยสารรถโดยสารประจำทาง

ก. ผู้ได้รับการยกเว้นค่าโดยสาร
 1. ผู้ตรวจการขนส่ง
2. พระภิกษุ สามเณร
3.บุรุษไปรษณีย์ในเครื่องแบบ (ขณะปฏิบัติหน้าที่)
4. ผู้ถือบัตรประจำตัวพนักงานองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
5. ผู้ถือบัตรหรือเหรียญตราของทางราชการ ที่ระบุไว้ว่ามีสิทธิยกเว้นค่าโดยสารประจำทาง

quad_test.gif เงื่อนไขการยกเว้นหรือลดหย่อนค่าโดยสารรถโดยสารประจำทาง

ข. ผู้ได้รับการลดหย่อนค่าโดยสารครึ่งราคา
 ผู้โดยสารที่ใช้บริการรถเมล์(ธรรมดา) ของ ขสมก. มีสิทธิได้รับการลดหย่อนค่าโดยสารได้ในอัตราครึ่งราคา สำหรับบุคคลดังต่อไปนี้
 1. คนตาบอด ที่มีหนังสือรับรองของสมาคมคนตาบอด
2. ทหาร ตำรวจ ในเครื่องแบบ
3. ผู้ถือบัตรหรือเหรียญตราของทางราชการ ที่มีระเบียบระบุไว้ว่ามีสิทธิได้รับการลดหย่อนค่าโดยสาร รถประจำทางครึ่งราคา เสียค่าโดยสารครึ่งราคา ดังนี้
quad_test.gif ผู้ถือบัตรประจำตัวเหรียญชัยสมรภูมิ และทายาท
quad_test.gif ผู้ถือบัตรประจำตัวเหรียญงาน



--
http://www.thaismeplus.com/news-en/business-news/1168.html
http://projects.silodesign.nl/vcm/
http://masterpieces.asemus.museum/default.aspx
http://www.skyscrapercity.com/showthread.php?t=1036185&page=32
http://twitter.com/RAFIKALGER
http://profile.imageshack.us/user/RafikH...
http://www.mixpod.com/playlist/47308482
http://fr-fr.facebook.com/people/Rafik-H...
http://www.tlcb.or.th/index.php?option=com_content&view=frontpage&Itemid=494
http://www.moeradiothai.net/home.php?webid=1
http://www.depthai.go.th/Default.aspx?tabid=114&qCategoryID=61&qKeyword=0
http://www.youtube.com/watch?v=W7giBy862zo&feature=related
http://www.youtube.com/watch?v=6bLZPatq53k&feature=fvw
http://www.youtube.com/watch?v=zN-LR9_IYpA
http://www.kmutt.ac.th/rippc/info.htm
http://www.fccthai.com/TheBulletin.html#517