หมายเหตุ: บทความนี้เขียนขึ้นโดยผู้เขียนมีส่วนได้ส่วนเสียกับเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อเดือนเมษายน – พฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา และน่าจะประกอบสร้างไปด้วยโลภะ โทสะและโมหะ จึงเหมาะสำหรับประชาชนธรรมดาผู้มีสติ ส่วนผู้รักสันติและมีวิจารณญาณสูงส่งไม่ควรอ่านด้วยประการทั้งปวง
ภายหลังการเสียชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยบนท้องถนนใจกลางเมืองเทวดา ตั้งแต่เมษายน – พฤษภาคม 2553 ประเทศไทยดูเหมือนจะกลับเข้าสู่ภาวะปรกติอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความประหลาดใจของชาวต่างชาติว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้นกันหรือ ประชาชนตายจำนวนมากทำไมไม่มีการตรวจสอบหาผู้กระทำความผิด สื่อต่างชาติบางสำนักถึงกับประณามว่าเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประเทศไทย เป็นเพราะคนไทยไม่เคยแยแสถ้าหากว่าเหตุการณ์ความรุนแรงนั้นไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง ครอบครัวหรือคนใกล้เคียง ในฐานะครอบครัวผู้สูญเสียผมคิดว่ามันน่าจะใกล้เคียง เพราะหากลูกชายคนเดียวของครอบครัวไม่เสียชีวิตผมก็สงสัยอยู่ว่าผมจะออกมา "อินเตอร์แอ็คทีฟ" ได้ขนาดนี้เชียวหรือ
แน่นอนว่าท่ามกลางความประหลาดใจ ย่อมเจือปนไปด้วยความเจ็บปวดเป็นระยะๆ ของครอบครัวผู้สูญเสีย ทั้งด้วยความไม่เจตนาหรือด้วยความต้องการแสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่งของคนรอบข้าง โดยลืมหรืออาจตั้งใจที่จะละเลยสิ่งที่เรียกว่า "กาละเทศะ" ผมจะลองลำดับเพียงบางเรื่องมาสู่กันฟังเผื่อว่าสักวันความเจ็บปวดนี้จะมีประโยชน์สำหรับพวกเราทุกคนอยู่บ้าง
ความเจ็บปวดครั้งแรกๆ ของครอบครัวเราเกิดขึ้นเมื่อญาติสนิทมิตรสหายทราบข่าวการเสียชีวิตของ "เฌอ" แน่นอนว่าส่วนหนึ่งยังนิยมใช้โทรศัพท์แสดงความเสียใจเพราะไม่ต้องลงทุนมากมายนัก อีกทั้งโทรศัพท์บ้านเรายังไปไม่ถึงขั้น "มองหน้าสบตา" ในระหว่างที่สนทนากัน ทำให้การใช้โทรศัพท์มักจะเป็น "ทางออกที่ดี" รูปแบบหนึ่ง
กรณีหนึ่งผมได้รับสายจากคนที่ผมเคยนับเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ทราบเรื่องจากการบอกต่อของกลุ่มเพื่อนว่าผมเสียลูกชายในเหตุการณ์ความรุนแรงที่รัฐบาลกระทำต่อประชาชน คำแรกที่เธอพูดออกมาคือ "เฮ้ย..เสียใจด้วยนะ แต่ฉันอยู่ฝ่ายรัฐบาลว่ะ" ก่อนจะสอบถามรายละเอียดเหมือนคนทั่วๆ ไป และบอกว่าจะมางานศพในวันไหน หลังจากนั้นก็แสดงความคิดเห็นทางการเมืองในฝักฝ่ายที่ตัวเองนิยม ก่อนจะร่ำลาและวางหูไปเมื่อเสร็จธุระของตัว ทิ้งให้ผมงงงวยโดยไม่มีโอกาสได้ชี้แจงใดๆ อยู่เพียงลำพังว่า "ลูกกูตายแล้วเกี่ยวอะไรกับการอยู่ฝ่ายไหนของมันวะ" ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็ได้ฝึกฝน "การฟัง" ของตัวเองแหละน่า เรื่องนี้จบลงที่วันฌาปนกิจเธอโทรมาให้เหตุผลที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ เพราะตอนนี้ "เกิดเหตุจลาจลเผาบ้านเผาเมืองไปทั่วแล้วเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย" ผมรับฟังอย่างเงียบๆ ก่อนวางสายหันไปสนทนากับเพื่อนและครอบครัวที่บินตรงมาจากยะลา รวมทั้งพี่ที่เคยร่วมงานกันที่ตรงมาจากเชียงรายถึงพร้อมกันในวันสุดท้ายของเฌอบนดาวแห่งความโหดร้ายดวงนี้
อีกสองสามครั้ง เมื่อคุณแม่น้องเฌอเดินทางไปรับเงินช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ "คำพูดและท่าที" ที่ไม่ระมัดระวังและแสดงความรังเกียจครอบครัวผู้สูญเสียของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในบางหน่วยงาน ที่ภรรยามาถ่ายทอดให้ผมฟังอีกครั้งนั้นก็แสดงถึงความไม่รู้เท่าการณ์ และแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลที่จิตใต้สำนึกที่ผลักดันการแสดงออกเช่นนี้ออกมาอย่างไม่สามารถปิดไว้ได้แม้จะมีความพยายามเช่นใด
เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันที่ผมมีโอกาสประสบพบเห็นโดยตรง และสามารถนำมาเล่าในเชิงรายละเอียดได้ คือ เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI จัดแถลงข่าวความคืบหน้าของการสอบสวนคดีที่เกิดจากความรุนแรงที่รัฐบาลกระทำต่อประชาชนในช่วงเดือนเมษายน - พฤษภาคมที่ผ่านมา คุณแม่พะเยา อัคฮาด คุณแม่ของคุณกมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามได้โทรมาชักชวนให้ผมไปร่วมฟังด้วยเผื่อจะมีอะไรปรึกษาหารือกันรวมทั้งครอบครัวญาติอีกหลายราย
(2)
ขณะที่ผมกำลังเดินทางจะถึง DSI ที่ศูนย์ราชการถนนแจ้งวัฒนะ คุณแม่คุณเกดโทรมาบอกว่า DSI ได้ย้ายสถานที่แถลงข่าวไปที่ที่ทำการของกระทรงยุติธรรม(เดิม) ที่อาคาร Software Park แล้ว พวกเราเลยต้องดั้นด้นตามไปเพียงเพื่อจะพบว่าการแถลงข่าวได้เสร็จสิ้นลงโดยไม่มีความคืบหน้าใดๆ สื่อมวลชนที่ลงมาจากห้องแถลงข่าวได้เล่าให้ฟังว่าสงสัยคงจะต้องการคลายความกดดัน จากการที่รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่นมาวางดอกไม้เคารพศพนักข่าวชาวญี่ปุ่นบริเวณหน้าโรงเรียนสตรีวิทยาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทิ้งความงงงวยไว้ให้กับเหล่าครอบครัวผู้สูญเสียไว้เบื้องหลัง
วันเดียวกัน กลุ่มเครือญาติโดยมีคุณแม่คุณเกดเป็นแกนนำยังได้ชักชวนให้ไปติดตามความคืบหน้าการพิจารณาเงินช่วยเหลือของสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งหลายรายญาติมิตรได้ผ่านการทำบุญร้อยวันโดยไม่มีการชี้แจงความคืบหน้าของการพิจารณาแต่อย่างใด เมื่อไปถึงท่านผู้อำนวยการฯ ได้ตอบข้อซักถามของคุณแม่น้องเกดและท่านอื่นๆ ก่อนจะยืนยันว่าจะดำเนินการให้รวดเร็วขึ้น
ท่านผู้อำนวยการฯ ยังได้ยกตัวอย่างความกรุณาของท่านในการให้ความช่วยเหลือผู้สูญเสียและผู้บาดเจ็บให้ฟังว่า
"มีคนหนึ่งหูหนวกแล้วก็พูดไม่ได้ มันจะเดินไปทำงานก็เดินตามคนอื่นๆที่ซอยรางน้ำจะไปขึ้นรถที่อนุสาวรีย์ฯ พอเริ่มมีการยิงกันคนอื่นก็วิ่ง ไอ้นี่ไม่รู้เรื่องไม่ได้ยินอะไร เห็นคนวิ่งก็วิ่งตาม แล้วคุณคิดดู คนเยอะแยะยิงโดนใครไม่โดนดันมาโดนไอ้หนวกนี่ แล้วโดนที่ไหนไม่โดนดันโดนไข่อีก ผมก็เลยอนุมัติเงินช่วยเหลือให้มันไป 15,000 บาท สงสารมันน่ะหูหนวกแล้วยังซวยอีก" แล้วท่านก็หัวเราะด้วยความสนุกสนาน เป็นอีกครั้งที่ผมได้ฝึกการข่มกลั้นพร้อมนึกถึงคำพระที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"
ล่าสุด และเป็นสาเหตุที่ผมคิดว่าคงต้องถ่ายทอดอะไรออกมาบ้างก่อนที่จะช้ำในตายโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ นั่นคือกรุงเทพมหานครได้ติดต่อให้ไปรับเงินช่วยเหลือเยียวยา ครั้งแรกผมยืนยันกับเจ้าหน้าที่ว่าครอบครัวมีทะเบียนบ้านอยู่ในจังหวัดนนทบุรีและไม่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ใดๆ กับทางกรุงเทพมหานคร แต่ปลายสายยืนยันว่าทางผู้ว่าการฯยินดีให้ความช่วยเหลือทุกคน โดยไม่แบ่งว่าเป็นคนจังหวัดไหน ผมจึงแจ้งชื่อยืนยัน
ผมและภรรยาไปถึงศาลาว่าการกรุงเทพมหานครค่อนข้างล่าเลยเวลานัดหมายพอสมควร แต่แถวของญาติที่กำลังลงทะเบียนก็ยาวมิใช่น้อย ขณะที่เรากำลังหันรีหันขวาง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้เข้ามาถามและเมื่อทราบว่าเป็นครอบครัวผู้ เสียชีวิตจึงให้ไปรวมที่ห้องประชุมใหญ่เพื่อรอเรียก พอเราเข้าไปพบว่ากำลังมีการแถลงข่าว "มหกรรมสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชน" เลยกำลังจะถอยออกมา แต่พบว่ามีกลุ่มญาติ 10 เมษาอยู่ในนั้นด้วย ตอนหลังเลยถึงบางอ้อ เมื่อพี่ๆ กลุ่มญาติ 10 เมษาฯ บอกว่ากรุงเทพมหานครให้มารอในห้องไปก่อน เพราะไม่มีที่รอด้านนอก หลังจากนั้นก็มีการแถลงข่าวมหกรรมสินค้าและผลิตภัณฑ์ชุมชน ท่ามกลางความงงงวยอีกครั้งของกลุ่มญาติว่าตัวเองมาผิดงานหรือเปล่า
(3)
พี่ผู้หญิงท่านหนึ่งซึ่งมาถึงก่อนเปรียบเปรยให้ฟังด้วยโทสะภายหลัง งานแถลงข่าวว่า "มันเอาหุ่นไทยมารำต่อหน้าต่อตาเรา เหมือนจะย้ำว่าพวกคุณมันก็แค่หุ่นเชิดนั่นแหละ" ถึงตอนนี้ผมไม่แน่ใจว่าเราโชคดีหรือเปล่าที่เดินทางมาถึงค่อนข้างล่าช้า
เวลาบ่ายโมง เมื่อเหล่าครอบครัวผู้เสียชีวิตประมาณ 102 รายจากกว่า 80 ครอบครัวลงทะเบียนครบแล้ว กรุงเทพมหานครก็พาเครือญาติทั้งหมดนั่งรถบัสสามคันพาไปที่ราชประสงค์ ทั้งที่ห้องประชุมใหญ่กรุงเทพมหานครก็ว่างไม่ได้ใช้งานแล้ว และถ้าจะจัดซ้อนกันก็น่าจะได้ เพราะช่วงเช้ายังให้กลุ่มญาตินั่งในงานแถลงข่าวได้เลย ผมคิดในใจว่ากรุงเทพมหานครอาจจะมี Gimmick อะไรมาให้ญาติรู้สึกดี หลังจากที่เคยเจ้ากี้เจ้าการหลอกประชาชนผู้บริสุทธิ์มาร่วมทำลายหลักฐานคดีสังหารหมู่ที่ราชประสงค์ชนิดที่ นางพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานนิติวิทยาศาสตร์ไม่ออกมาโวยวายอะไรเลย จะบอกว่าเธอรู้เห็นเป็นใจในฐานะที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษผู้บังคับบัญชา เป็นกรรมการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะดูเธอมีบุคลิกลักษณะของคนที่ซื่อสัตย์ ถือคุณธรรมเป็นที่ตั้งออกอย่างนั้น
ขณะที่ผ่านวัดปทุมวนาราม "พี่นรี" ที่ลูกชายถูกทหารยิงเสียชีวิตก็พูดขึ้นมาว่า "ทำไมมันไม่จัดที่วัดปทุมฯ ไปเลยวะ ไปทำไมราชประสงค์" ทำเอาทั้งรถเงียบกันไปหมด เมื่อรถวิ่งไปถึง Urban Space ข้างนารายภัณฑ์ ฝั่งตรงข้าม Ground Zero ราชประสงค์ ผมเริ่มรู้สึกแปลกๆ ว่าทำไมพิธีมอบเงินถึงมีการตบแต่งสถานที่ออกมาได้หลากสี ขนาดนี้ หรือว่ากรุงเทพมหานครขอยืมสถานที่เขามาจัดงาน แต่เมื่อลงไปพบว่ากรุงเทพมหานครพาเรามาร่วมงานแถลงข่าว Bangkok Shopping Week และพิธีมอบเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยในการชุมนุมทางการเมือง
เริ่มงานผู้ว่าการกรุงเทพมหานคร ซึ่งอาจารย์สุลักษณ์ ศิวลักษณ์ เคยให้สัมภาษณ์ทำนองว่า "ถ้าไม่มีปฏิวัติ 2475 คนนี้จะเป็นบุคคลที่สำคัญมากๆ" ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงาน Bangkok Shopping Week เพื่อให้ผู้ประกอบการที่ประสบภัยจากการชุมนุมทางการเมืองได้มีที่จำหน่าย สินค้า โดยได้เงินบริจาคมาตั้งกองทุนช่วยเหลือในครั้งนี้ ซึ่งในรายชื่อส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ รวมทั้งผู้มีจิตศรัทธาอื่นๆ เช่น ASTV และมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ฯลฯ และถือโอกาสนี้มอบเงินช่วยเหลือให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ทุพพลภาพ ตามเกณฑ์พิจารณาที่กรุงเทพมหานครได้ตั้งไว้
สุดท้ายคุณโก้ ธีรศักดิ์ พันธุจริยา เจ้าของครีมหน้าเด้งซึ่งกิจการในห้าง Zen ถูกเผาได้รับความเสียหายและเหล่าเพื่อนดาราได้มอบช่อดอกไม้และกล่าวขอบคุณท่านผู้ว่าการฯ ที่ได้จัดงานนี้ขึ้นมา หลังจากนั้นพิธีกรจึงให้ญาติผู้เสียชีวิตเข้าแถวรอรับมอบเงินช่วยเหลือ ผมค่อนข้างจะเห็นใจท่านผู้ว่าการฯ ที่ขณะมอบเงินไปก็ต้องซับเหงื่อให้ตัวเองไปด้วย ท่านจะรู้หรือไม่ว่าห้องประชุมใหญ่แอร์เย็นๆ ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานครไม่มีคนใช้
ภายหลังงาน ครอบครัวผู้สูญเสียต่างแยกย้ายกันไปเงียบๆ มีบางส่วนที่ต้องเดินทางกลับศาลาว่าการฯ บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบที่น่าอึดอัด หลายคนคงนึกไม่ถึงว่าจะถูกกระทำซ้ำเช่นนี้ และด้วยความเคารพ ผมว่าบางคนที่ไม่ทราบว่าคนที่เรารักจากไปด้วยความเจ็บปวดขนาดไหนคงเริ่มตระหนักเมื่อพิธีครั้งนี้สิ้นสุดลง
(จบ)
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้อ่านงานเขียนวิจารณ์อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ กรณีรับเป็นกรรมการปฏิรูปของอาจารย์สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ผมนึกถึงคำภาษาอังกฤษที่อาจารย์สมศักดิ์ใช้และหาคำแปลที่ลงตัวในภาษาไทยไม่ได้ นั่นคือคำว่า decency เมื่อมาประสบเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดตอกย้ำซ้ำเติม ผมรู้สึกได้ถึงความหมายและสัมผัสของคำๆ นี้ แต่ก็ยังนึกถึงคำแปลไม่ออกอยู่ดี แต่ที่แน่ใจ นั่นคือสิ่งที่อาจารย์สมศักดิ์เรียกว่า "ความจริงใจ" ที่มีอยู่ในตัวตนของกรุงเทพมหานครและท่านผู้ว่าการฯ ที่ดูจะไม่แตกต่างจากปัญญาชนบริการทั้งหลายเท่าไรนัก
ในฐานะที่เป็นประชาชนธรรมดาคนหนึ่งในจำนวนครอบครัวผู้เสียชีวิต ผมไม่สามารถรับประกันได้ว่าเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองที่รัฐบาลกระทำต่อประชาชนและทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากจะไม่เกิดขึ้นอีก แต่เครือญาติเริ่มหาทางรวมตัวเพื่อทวงถามความยุติธรรมให้กับผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ และผู้ที่อาคารบ้านเรือนถูกทำลายเสียหาย แน่นอนว่าระหว่างทางแห่งการค้นหาความจริงนี้ พวกเราคงต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดที่คงกรีดลึกลงไปในแผลเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ผมหวังว่าสักวันความเจ็บปวดนี้อาจจะมีประโยชน์สำหรับพวกเราประชาชนธรรมดาทุกคน
หมายเหตุ Bangkok Shopping Week จะเริ่มกิจกรรมช็อปกระหน่ำในวันเสาร์ที่ 18 กันยายน ยาวจนถึงวันจันทร์ที่ 11 ตุลาคมนี้ ที่ Urban Space ราชประสงค์ ถ้าว่างก็แวะไปจับจ่ายใช้สอยหน่อยครับ
--------------------------------
* ชื่อบทความนำมาจากชื่อภาพยนตร์ "Someday This Pain Will Be Useful to You" อ่านรายละเอียดได้ในนิตยสาร Bioscope ฉบับที่ 106 กันยายน 2553 ปก "อินทรีแดง" เดือด! หน้า 11